สาระความรู้ทั่วไป,  เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์

ประกันรถยนต์มือสอง เลือกชั้นไหนดี drmarq มีคำตอบ

การซื้อรถยนต์มือสอง สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการทำประกันรถยนต์ ซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้ขับขี่และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุบัติเหตุ รวมถึงทรัพย์สินที่เสียหายจากอุบัติเหตุ การเลือกระดับของประกันรถยนต์มือสองจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยกำหนดขอบเขตความคุ้มครองของประกัน

ในปัจจุบัน ประกันรถยนต์มือสองมี 3 ระดับ ได้แก่

ชั้น 1 ให้ความคุ้มครองครอบคลุมที่สุด ทั้งการชนแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงความเสียหายต่อรถยนต์ทั้งคัน และค่ารักษาพยาบาล

ชั้น 2 ให้ความคุ้มครองเฉพาะการชนแบบมีคู่กรณีเท่านั้น รวมถึงความเสียหายต่อรถยนต์ทั้งคัน และค่ารักษาพยาบาล

ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองเฉพาะการชนแบบมีคู่กรณีเท่านั้น รวมถึงความเสียหายต่อรถยนต์เฉพาะส่วน และค่ารักษาพยาบาล

การเลือกระดับของประกันรถยนต์มือสอง ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • สภาพของรถยนต์ หากรถยนต์อยู่ในสภาพดี มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี การทำประกันชั้น 1 จะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด
  • ความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกัน ค่าเบี้ยประกันรถยนต์มือสองในแต่ละระดับจะแตกต่างกันไป โดยประกันชั้น 1 จะมีค่าเบี้ยประกันสูงกว่าชั้นอื่นๆ
  • ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ หากผู้ขับขี่มีพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ขับรถเร็ว ดื่มสุราขณะขับขี่ ควรพิจารณาทำประกันชั้น 1 เพื่อเพิ่มการคุ้มครอง

**** สำหรับรถยนต์มือสองที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 7 ปีขึ้นไป drmarq แนะนำให้ทำประกันชั้น 3 ก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานนาน อะไหล่ต่างๆ อาจเสื่อมสภาพได้ง่าย การทำประกันชั้น 3 จะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมรถยนต์ในเบื้องต้น

นอกจากนี้ ยังมีประกันรถยนต์มือสองแบบอื่นๆ ให้เลือก เช่น ประกันชั้น 1+ ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 3+ ซึ่งให้ความคุ้มครองที่มากขึ้นกว่าระดับพื้นฐาน โดยประกันชั้น 1+ ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งการชนแบบไม่มีคู่กรณี การชนแบบมีคู่กรณี และความเสียหายต่อรถยนต์ทั้งคัน รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ส่วนประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+ ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกับประกันชั้น 1+ แต่ลดขอบเขตความคุ้มครองลงบ้าง

การเลือกระดับของประกันรถยนต์มือสอง ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ